Terminator Dark Fate

จริงๆ ผมได้เขียนบ่นปนหัวร้อนเอาไว้บ้างแล้ว ใน Facebook แต่คงจะมักง่ายไปหน่อย หากจะยกทั้งหมดนั่นมาใส่ลง
ในบทความนี้เสีย (ทำอย่างกับไม่เคยทำ) ฉะนั้นจึงขอสรุปคร่าวๆดังนี้
ผมค่อนข้างอคติกับแฟนหนัง ออกไปทางหมั่นไส้ ด้วยส่วนตัวนั้น ชอบ Terminator 3 เอามากๆ (ชอบตอนจบ) และชอบไอเดียของภาค 5 ด้วยเช่นกัน พอประกาศออกมาว่าภาคต่อที่ว่านี้จะไม่นับหนังภาค 3-5 เป็น Canon แต่ให้ถือเป็นโลกคู่ขนาน หลายคนที่ออกมาแซ่ซ้องยินดี ก็พลอยด่ามาถึงหนังที่ผมชอบเสียป่นปี้

ผมชอบภาค 2 แต่ไม่ถึงกับยกเป็นมาซเตอร์พีซ

ภาคนี้โฆษณาว่าเป็นภาคต่อที่แท้ทรูของภาค 2 รวมถึงได้ทั้งเจมส์ และทิม มานั่งแทนโปรดิวซ์และกำกับตามลำดับ หลายคนก็คาดหวังจะได้เห็นสิ่งใหม่ๆ วิสัยทัศน์แจ่มๆของป๋าเจมส์ (ซึ่งยอมรับกันตามตรงว่าขาดไปในภาค 3-5)

ใจจริง ผมเองก็อยากให้หนังมันออกมาดีนะ คือในฐานะคนดูหนัง เราก็อยากจะดูหนังดี

ปรากฏว่าหนังมันก็ออกมาดี อยู่ในระดับพอใช้ได้ เสียงแตกออกเป็น 2 ฝั่ง
ผมจึงคล้ายๆจะอยู่ตรงกลางของเสียงเหล่านั้น จะเกลียดไปเลย เพราะอคติมันบังตาก็ไม่ได้ (เสียใจจัง 5555) จะชอบแบบบูชาเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน
หนังมีไอเดียที่ดี โดยเฉพาะไอเดียของนางเอก (คนที่เป็นเป้าหมาย เหมือนที่ซาราห์เคยเป็น) คือแนวคิดดี ร่วมสมัยเลยแหละ มีการกำกับภาพที่ดี โดยเฉพาะซีนที่ไม่ต้องพึ่ง VFX มาก

ลินดา(ซาราห์) และอาโนลด์(คนเหล็ก) คือไอเดียที่เวิร์คของหนัง และนักแสดงทั้งคู่ทำหน้าที่ได้ดีมากๆ เท่าที่บทจะเอื้อให้

หนังมาตกม้าตายตรงที่ว่า "ซีนเกิด" ของนางเอก ดันใช้ VFX มากเกินไป และการกำกับภาพดรอปลงอย่างมาก (ผมใช้คำว่าห่วยแตกในสเตตัสเฟสบุ๊ค) เป็นการฝืนจะทำ ทั้งๆที่ดูยังไงก็ไม่เวิร์ค ไม่ใช่แค่การกำกับภาพเท่านั้น ตัวบทเองก็ไม่เอื้อให้ด้วย พอซีนเกิดมันไม่เวิร์ค นางเอกเลยไม่เวิร์คไปด้วยเลย ทั้งๆที่นักแสดงก็ไม่ได้ไร้ฝีมืออะไร

ซีนที่ใช้ VFX ล้วนลา ลา ลอย อาจจะเป็นเพราะ ใช้เงิน และเวลาไปกับหุ่นเสียเยอะ แอบผิดหวังนะเอาตรงๆ แถมกำกับภาพก็ดรอปลง ลินดา และอาโนลด์ ถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง ปมมากมายที่ปูมา ล้วนเททิ้งเสียเปล่า
ผมไม่แน่ใจว่าทีมสร้าง สร้างหนังเรื่องนี้ ด้วยอยากจะให้มันเป็นหนังที่ดีด้วยตัวมันเอง หรือคิดเพียงแค่มันเป็นสะพานทำเงินในภาคต่อๆไป มันเลยออกมาแบบ "พอดูได้ สนุกดี" แต่ไม่ได้ขึ้นหิ้งน่าจดจำอะไร


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Ad Astra 

Ad Astra

หนังที่มีทั้งแบรด พิท และทอมมี่ ลีโจนส์ และด้วยความที่เป็นหนังอวกาศ สำหรับผมแล้ว ออกจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย
หนังตอบโจทย์ด้านอวกาศได้เป็นอย่างดี ความสมเหตุสมผล(ที่ไม่ได้แปลว่าสมจริง ณ ช่วงเวลานี้) ปรากฏค่อนข้างเยอะในหนัง เรียกว่าสนุกอ่ะ ถ้าดูเอาด้านนี้

หนังพยายามเจาะลึกจิตใจ และภาวะความเครียดของนักบินอวกาศ ซึ่งผมเข้าใจสารที่หนังจะสื่อดี เพียงแต่ว่า มันเรื่อยๆมาเรียงๆ หรือต๊ะ ต่อน ยอนนนนนน มากๆ และขาดจังหวะจะโคนในการเล่าไปหน่อย สารที่หนังสื่อออกมา เลยส่งมาถึงตัวคนดู แต่ถามว่าอินกับหนังไหม .... ไม่อ่ะ

กำกับภาพดีนะ ดนตรีก็ชอบ
เป็นหนังดี และแล้วแต่รสนิยมคนจริงๆ ใครคล้อยตามอารมณ์ที่หนังพาไปได้ อาจจะชอบหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ once upon a time in hollywood wide

Once Upon a Time in Hollywood

เรียกว่าดูเว้นระยะมานานที่สุดใน 3 เรื่องของบทความนี้ ลืมรายละเอียดปลีกย่อยไปหลายจุดแล้ว ถ้าจะให้ติกันตามจุด แต่ภาพรวมคือ เป็นหนังที่ประทับใจมากๆๆๆๆๆๆ

หนังสร้างอยู่บนจุดเริ่มต้น ที่มีเรื่องจริงอยู่ในนั้น แต่ดัดแปลงให้เป็นนิทานไปเสีย ตามชื่อหนัง ซึ่งนั่นคือข้อดี ในการที่จะสามารถใส่อิสระทางความคิดใดๆก็ตามลงไปในหนัง

หนังมีตอนจบที่โอเค ถ้าใครพอจะรู้เรื่องจริง ประวัติศาสตร์จริงอยู่บ้าง ก็คงจะรู้ว่าเรื่องจริงมันน่าเศร้าขนาดไหน แต่นี่คือหนังเควนติน! และมันเป็นนิทาน! ตอนจบมันจะไปทางไหนก็ได้!

แบรด พิท สองเรื่องติดต่อกัน ดีทั้งคู่!!!!!

ลีโอไม่ต้องพูดถึง ซีนที่แกอาละวาดในตัวอย่างหนังนี่ พอดูในหนังจริงๆ คือมีความหมายมากเลยนะ
กำกับภาพดี ดนตรีก็เพราะ เพราะมีวัตถุดิบชั้นดีจากยุคสมัยของเรื่องราวอยู่แล้ว

สรุปคือ ชอบมากๆ ประทับใจมากๆ อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุด แต่ตอบโจทย์ที่ตัวเองตั้งไว้ได้เกินกว่า 70% ที่สำคัญ มัน "บันเทิง" มากๆ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็มีหลายๆคนไม่ค่อยชอบหนัง หรือชอบหนังแต่ไม่สุดๆเหมือนกัน อย่างไรก็ดี ยังแอบเสียดาย ว่าถ้าเควนตินแกจะหยุดทำหนังจริงๆเมื่อครบสิบเรื่อง วงการหนังคงขาดรสชาติห่ามๆดิบๆแบบนี้ไปสักพัก กลายเป็นตำนาน "กาลครั้งหนึ่ง... ในฮอลลีวูด" ไปอีกคน